เราเกิดขึ้นมาในโลกใบนี้ มนุษย์เราไม่ใช่ว่าจะดีทั้งหมด ทุกวันนี้มีคน 2 กลุ่มด้วยกัน ดังคําว่า
“อะเสวะนา จะ พาลานัง ปัณฑิตานัญจะ เสวะนา” คนมี 2 กลุ่มใหญ่ๆ แต่กลุ่มไหนจะมากกว่ากัน ยุคใดสมัยใดมีนักปราชญ์บัณฑิตมากในยุคนั้นสังคมจะมีความสุขความเจริญอยู่ดีกินดี มีความรักกัน ถ้ายุคใดสมัยใดมีคนพาลมากขึ้นนั่นแหละ ยุคนั้นจะส่อไปทางที่ต้องหายนะวุ่นวาย มีความทุกข์เดือดร้อนมากขึ้นๆ จากนี้ไปมันจะมีคนพาลมากขึ้นเต็มบ้านเต็มเมือง นักปราชญ์จะมีน้อยอยู่ลดลงอยู่
นักปราชญ์จะมีบ้างแต่ไม่มากนัก ถ้านักปราชญ์มากก็เอาชนะเอาคนพาลได้
คําโบราณว่า นํ้าน้อยย่อมแพ้ไฟ คือไฟกองมหึมา แต่นํ้าขันเดียวไปเทใส่มีความหมายไหมไม่มีความหมายอะไรเลย มันต้องให้นํ้าเหนือไฟนี่มันจะทําลายไฟได้ ดูไฟกําลังไฟมีเท่าไร นํ้าประมาณเท่าไร ถึงจะลบกันได้ ล้างกันได้ ไม่ใช่ว่าไฟกองมหึมา เอานํ้าไปขันเดียวไปเทใส่ มันดับไม่ได้ ถ้านํ้าน้อย-ไฟมาก-นํ้าแพ้ ถ้านํ้ามาก-ไฟน้อย-นํ้าชนะ นี่ลักษณะนี้ของสองอย่าง
เป็นคู่แข่งกัน นํ้าชนะไฟได้ไฟชนะนํ้าได้เช่นเดียวกัน ดูสิว่าใจเราตัวนี้ แนวความคิดปัญญาเราจะชนะกิเลสได้-แพ้ได้เช่นเดียวกัน นี่พยายามฝึกปัญญาให้มากขึ้น
พวกเรามีปัญญาไหม? …มีอยู่ แต่เดี๋ยวนี้ปัญญาเรายังไม่ได้ฝึกทางธรรมะเท่าที่ควร เป็นธรรมะที่ศึกษามาเฉยๆ เป็นธรรมะที่ศึกษาตามตํารามาวันต่อวันๆ ธรรมะหมวดนั้นหมวดนี้ก็พอรู้ แต่ความรู้อย่างนี้ มันละกิเลสไม่ได้ มันต้องนําไปปฏิบัติ เหมือนความรู้ ทั้งหมดที่เรารู้ เป็นวัตถุดิบ เหมือนกับนํ้ามัน ถ้าเราดูดขึ้นมาจากพื้นดินขึ้นมาแล้ว จะมาใส่รถใหม่ๆ ใส่ไม่ได้เลย เอานํ้ามันมากลั่นมากรองซะก่อนสิ มาแยกอะไรเป็นซุปเปอร์ เป็นเบนซิน เป็นดีเซล แยกก่อนสิจึงจะไปใส่รถได้ ไม่ใช่ว่าเอาน้ำมันที่ดูดขึ้นมา ไปใส่รถไม่ได้นะ ธรรมะก็เหมือนกัน เราศึกษาธรรมะหมวดนี้มา จะให้เป็นดีขึ้นมา เป็นพระอริยะขึ้นมาไม่ได้นะ เราต้องเอาธรรมะมากลั่นมากรองซะก่อน มา
ศึกษาแยกแยะซะก่อนว่า เราเหมาะสมกับธรรมะหมวดไหนแค่ไหนอย่างไรมากลั่นกรองธรรมะให้เป็น ธรรมะมีหลายหมวดนี่ ธรรมะขั้นระดับสูงก็มีกลางๆ ก็มี พื้นฐานก็มี มันต้องศึกษาธรรมะตัวนี้ นี่คือส่วนธรรมะในการศึกษา
แต่จุดสําคัญคือเรามาศึกษาเราเองนั่นแหละ คือมันกระทัดรัดดี สั้นดี นั่นคือว่ามาศึกษาส่วนเกิน และส่วนขาดของตัวเอง ถ้ามันขาดส่วนนี้เราก็เพิ่มมันซะ ถ้ามันเกินไปก็ตัดออก ให้อยู่พอดีๆ นั่นล่ะมันจะเหมาะสม
เราก็รู้ แล้วว่าทุกคนต้องการความดี ต้องการความสุข ต้องการความเจริญ ทุกคนก็มีความต้องการอย่างนี้อยู่แต่ก็ทําไม่ได้ กลุ่มนั้นเขาเรียกว่าคนพาล อยากได้ดีแต่ก็ทําไม่ได้ แต่ไปโทษคนพาลไม่ได้นะ ถ้าไม่มีคนพาลในโลกใบนี้จะเอาคนดีมาจากไหน มันไม่ได้ มันต้องมีคนพาลแฝงอยู่ ถึงว่าคนดีเป็นอย่างนี้ โลกของเรามีได้ทุกอย่าง แต่ถ้าเราทําดีไปแล้วนี่คน
พาลก็ยอมแพ้ได้เหมือนกันนั่นแหละ ยอมแพ้เราได้ เราพยายามศึกษาตัวเราให้มากที่สุด นั่นเราจะเอา
ยังไง จะเอาหัวใจเราไปนั่งในใจคนพาลให้มากที่สุด ต้องหาวิธีการเอง เอาชนะคนขี้ตระหนี่ด้วยการให้ เอาชนะคนขี้โกรธด้วยความเมตตาหรือความรัก เอาชนะคนพาลด้วยอะไร หาดูสิ เอาชนะใจเขาให้ได้ โดยเอาใจเราไปนั่งในใจเขาให้ได้ ทํายังไง
หลวงพ่อเคยมีคนพาลเป็นเพื่อนไหม? … มีเยอะ หลวงพ่อเป็นคนมีเพื่อนฝูงมาก มีทุกสิ่งทุกอย่าง แต่หลวงพ่อก็นั่งในหัวใจเขาได้ เราต้องรู้ จักวิธีแก้ปัญหา มันมีหลักนิดๆ หน่อยๆ คนพาล ปล่อยเขาไป ไม่ยาก เราเอาเพื่อน เพื่อนเป็นเพื่อน พาลเป็นพาล ต้องแยกกันให้เป็น ถ้าเจอคนพาล ให้มองจุดดี เพื่อส่งเสริมเขา ส่วนข้อไม่ดี ให้เขารับผิดชอบเอง แต่เราสามารถสังเกตสิ่งที่เขาทําไม่ดีมาเป็นกระจกส่องตัวเรา ถ้าเจอว่าเรามี เราจะได้ไม่ทําลักษณะนั้นๆ ส่วนถ้าเจอบัณฑิต พยายามสังเกตลักษณะของคนดี เพื่อเราจะได้ฝึกเลียนแบบ เพื่อปรับปรุงตัวเราให้ดีขึ้น
ขณะนี้ เราอยู่เป็นกลุ่มเป็นก้อนใหญ่ๆ ส่วนใหญ่ที่มาฟังธรรมเหมือนกับว่าเรียบร้อยดีสงบดี ไม่มีอะไรมากมาย เรื่องทางโลกทางอะไรต่างๆ ที่วุ่นวายไม่ค่อยมี มีน้อยมาก เราควรพยายามกอบสิ่งต่างๆ ทาง
ธรรมะให้มากที่สุดเอาไว้ ให้เกิดความรักกันสงสารกันให้มากที่สุด เพราะความรักกันสงสารกันเป็นรากแก้วของโลก ถ้าตัวนี้สั่นคลอนเมื่อใด โลกสะเทือนเมื่อนั้น ครอบครัวเดียวกันถ้ามีความรักกันสงสารกันอยู่ ครอบครัวนั้นจะอบอุ่น ผัวเมียจะมีความสุข มีความเจริญ ลูกหลานครอบครัวก็เจริญ หรือสังคมเราถ้ามีความรักกันสงสารกันมากเท่าใด สังคมเราบ้านเราจะมีความสุขมากเท่านั้น หลวงพ่อจึงให้ข้อคิดเอาไว้เพื่อนําไปปฏิบัติประจําวันของเรา
ขอให้ทุกคนมีความสุขความเจริญในธรรมตลอดไปชั่วกาลนาน
วัดป่าบ้านค้อ อ.บ้านผือ จ.อุดรธานี