" ญาณหยั่งรู้ "
ขอย้อนสักครั้ง เมื่อครั้งที่หลวงพ่อรุ่งยังมีชีวิตอยู่...ขณะนั้น รัชกาลที่ ๗ เสวยราชไม่นานนัก ก็เกิดการปฏิวัติรัฐประหารขึ้นเป็นครั้งแรกใรราชวงศ์จักรี และได้เกิดปะทะต่อสู่กันขึ้นอย่างรุนแรง ระหว่างฝ่ายรัฐบาล กับฝ่ายกบฏวึ่งมี พระองค์เจ้าบวรเดช เป็นหัวหน้าฝ่ายกบฏ ฝ่ายรัฐบาลก็มี พระยาพหลพลพยุหเสนา เป็นหัวหน้า
เสียงระเบิดของปืนเล็ก - ใหญ่ดังกึกก้องไปทั่วบริเวณแนวรบ คือ ตั้งแต่ปากช่อง แก่งคอย มาจนถึงดอนเมือง หลักสี่ บางเขน และบางซื่อ
.....ผลสุดท้ายฝ่ายกบฏต้องพ่ยแพ้ และล่าถอย ระหว่างนั้นหลวงพ่อรุ่งท่านได้เข้าชาณไปดูถึงสนามรบ แล้วกลับมาบอกเล่าให้บรรดาสานุศิษย์ฟัง ถึงเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น แลพท่านพูดว่า " ช่างน่าสลดใจเสียจริงๆ ที่คนไทยด้วยกันต้องมาสู้รบฆ่าฟันกันเอง ข้าวกล้าในนาถูกเหยียบย่ำเสียหายมาก "....ควันของดินดำกำมะถัน และเสียงระเบิดของปืนใหญ่ เพิ่งจะได้สงบเงียบลงได้ไม่กี่วัน ก็เกิดการโกลาหลอลหม่านกันขึ้นอย่างยกใหญ่ ในเขตจังหวัดที่ติดต่อกันรวม ๔ จังหวัด คือ จังหวัดสมุทรสาคร จังหวัดสมุทรสงคราม จังหวัดราชบุรี และจังหวัดนครปฐมคือ เกิดข่าวลือที่น่าหวั่นหวาดในรอบศตวรรษว่า " ฝ่ายกบฏแพ้สงครามต่อรัฐบาล ได้ไปตั้งตัวเป็นกองโจร แล้วออกเที่ยวไล่สกัดจับเอาพวกผู้ชาย เพื่อนำไปฝึกและให้สู้รบกับรัฐบาล " .....ซึ่งข่าวลืออันนี้ได้ยังความตื่นเต้นตกใจแก่ประชาชนพลเมืองมิใช่น้อย เพราะเหตุว่าประเทศไทยว่างศึกสงครามมานาน แล้วเกิดมีสงครามภายในเกิดขึ้นจึงทำให้ขวัญของประชาชนไม่สู้จะดีนัก
นอกจากนี้ยังลือกันอีกว่า มีทหารใส่เสื้อแดง กางเกงแดงเที่ยวไล่จับคนไปเป็นกลุ่มๆ ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ผู้คนแตกตื่นต่างหลบซ่อนหนี กันเป็นโกลาหล ...บางพวกหนีพากันไปซุกซ่อนตัวอยู่ในป่าจาก ซึ่งมียุงชุกชุมมากที่สุดในโลก บางพวกก็หลบลงไปแช่ในน้ำ นอนอยู่ในนาตัวแข็งใช้ต้นข้าวเป็นกำบังอำพรางตัวไว้ บางคนแช่อยู่ในน้ำโดนตะคริวรับประทาน ....บางคนกำลังทอดข้าวเม่า กล้วยแขกขายอยู่ เมื่อเห็นเขาหนีกัน ตัวเองไม่รู้อีโหน่อีเหน่ก็หนีไปกับเขาบ้าง
ขอขอบพระคุณที่มา