พญามารก็จำแลงกายเป็นพญานาคใหญ่เบ้อเริ่มเทิ่มพ่นควันพิษฟุ้งตลบเลยเชียว พระเถระก็จำแลงกายเป็นครุฑใหญ่โฉบมาขยุ้มพญานาค ต่อสู้กันพัลวัน สู้กันไปสู้กันมาพญามารในคราบพญานาคเห็นจะสู้ไม่ไหว ก็วิ่งหนีไป พระเถระจึงเสกหนังหมาเน่าเหม็นฟุ้งซัดไปผูกคอพญามาร
มารสลัดอย่างไรก็ไม่หลุด วิ่งไปขอความช่วยเหลือจากเทพทั้งหลาย ตั้งแต่ท้าวจาตุมหาราช จนกระทั่งพรหม ก็ไม่มีใครช่วยปลดหนังหมาเน่าออกจากคอมารได้ เหม็นคลุ้งไปทั่วพิภพ
ท้ายที่สุดจำต้องมาขอร้องให้พระอุปคุตปลดให้ ยอมแพ้แต่โดยดี พระเถระขอคำมั่นจากพญามารว่าจะไม่มาขัดขวางงานบุญครั้งนี้ พญามารก็รับ ท่านจึงปลดหนังหมาเน่าออกจากคอพญามาร แต่เพื่อความแน่ใจท่านจึงผูกพญามารไว้กับเขาพระสุเมรุจนกว่างานจะสำเร็จ
พญามารน้อยใจพระเถระ ทั้งที่ยอมแพ้และให้คำมั่นแล้ว พระเถระก็ยังใจร้ายมัดแกไว้อีก จึงเอาตีนกระทืบเขาจนสั่นสะเทือนไปทั้งแผ่นดิน พญามารกล่าวว่า “เพราะข้าได้หลงทางผิด จึงถูกทรมานอย่างนี้ ต่อแต่นี้ข้าจะขอกลับเนื้อกลับตัว ขอปรารถนาพุทธภูมิเพื่อช่วยเหลือสัตว์โลกให้พ้นจากทุกข์ในสังสารวัฏ”
พระเถระเดินทางมาดูพญามาร พอดีได้ยินคำปรารถนาของพญามาร จึงสาธุการขึ้นดังๆ แล้วแก้มัดพญามาร แล้วขอร้องให้พญามารเนรมิตรูปพระพุทธเจ้าให้ดู เพราะตนเกิดไม่ทันพระพุทธองค์
พญามารกล่าวว่า ถ้าข้าพเจ้าเนรมิตพระพุทธเจ้าขึ้นมาแล้ว ขออย่าได้นมัสการเป็นอันขาด เพราะมิใช่พระพุทธองค์จริง พระเถระก็รับคำ แล้วกล่าวว่าไหนๆ จะเนรมิตแล้วก็ขอให้พระราชา พระสงฆ์ และประชาชนได้ทัศนาด้วย เป็นอันตกลงตามนั้น
ว่ากันว่า พระพุทธเจ้า ที่พญามารเนรมิตนั้น งดงามด้วยมหาปุริสลักษณะ และอนุพยัญชนะ 80 ประการ สง่างามสมดังตำราว่าไว้ไม่ผิดเพี้ยน พระเถระและประชาชนต่างก็ก้มถวายบังคมโดยทั่วหน้ากัน
พญามารต่อว่าพระเถระว่า ไหนรับปากแล้วจะไม่ไหว้อย่างไร ทำไมจึงลืมสัญญา พระเถระตอบว่า เห็นพระพุทธองค์แล้วรู้สึกปลาบปลื้มปีติลืมตัว จึงถวายบังคมไม่ทันนึกว่าเป็นรูปเนรมิต แต่ถึงอย่างไร ก็เป็นรูปพระพุทธองค์
พระเถระกล่าวกับพญามารว่า “ดูกรพญามาร ท่านได้กระทำการเป็นบุญกุศลมหาศาล ที่ได้เนรมิตรูปพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้อาตมาและประชาชนได้ทัศนาและนมัสการ ท่านเองก็มีจิตใจน้อมไปในโพธิญาณปรารถนาภาวะพุทธเจ้าในอนาคต ท่านจงไปตามสมควรแก่คติของท่านเถิด”
พญามารจึงนมัสการพระอุปคุตแล้วหายวับไป ณ บัดนั้นแล
ว่ากันว่า ตั้งแต่บัดนั้นมา พญามารมิได้ตามรังควานใครๆ ที่ทำบุญกุศลอีกเลย แต่เพราะเคยทำความไม่ดีมาเยอะ คนจึงกล่าวขวัญถึงมารในแง่ไม่ดี และน่าเกลียดน่ากลัวจนกระทั่งบัดนี้ ลบยังไงก็ลบไม่หมด ว่าอย่างนั้นเถอะ
ในหลวงรัชกาลที่ 5 ได้พระราชนิพนธ์เรื่องพระอุปคุตไว้ตอนหนึ่งว่า “มีชาวเมืองย่างกุ้งคนหนึ่ง ได้ตักบาตรแก่พระอุปคุตเถระแล้วได้เป็นเศรษฐี ชาวเมืองย่างกุ้งทั้งปวงจึงพากันหุงข้าวแต่ยังไม่สว่าง คอยตักบาตรพระอุปคุตเถระ จนทุกวันนี้ก็ยังมีความนับถือพระอุปคุตเช่นนี้แพร่หลายมากขึ้น”
นี่คือเหตุผลที่ทำไมชาวพม่า ชาวไทย ภาคเหนือ และภาคอีสาน นับถือพระอุปคุตมาก เพราะเล่าลือว่า ท่านสามารถบันดาลผู้ตักบาตรให้เป็นเศรษฐีทันตาเห็น ได้เป็นจริงๆ ไม่ใช่หลอกดูดเอาเงินเขาไปจนหมดแล้ว ให้พระดูดทรัพย์มาเก็บไว้นั่นแหละเครื่องดูดละครับ พระดูดทรัพย์นั้น จะมีแต่ดูด ดูด เอาเงินจากท่านไปจนหมดตูด ยังไม่รู้ตัวอีก อนิจจา
เชื่อกันอีกนั่นแหละว่า ท่านพระอุปคุตยังไม่นิพพาน (ในที่นี้แปลว่าดับขันธ์) เพราะท่านเจริญอิทธิบาทจนถึงขั้นมีอิทธิฤทธิ์อธิษฐาน “ต่ออายุ” ให้อยู่เป็นกัปเป็นกัลป์ได้
(หมายเหตุ นี้เป็นความเชื่อครับ ที่จริงเป็นไปไม่ได้พระพุทธเจ้าเองตรัสไว้จริงว่า ผู้เจริญอิทธิบาทสมบูรณ์เต็มที่แล้ว สามารถต่ออายุได้กัปหนึ่งหรือเกินกว่าเล็กน้อย แต่คำว่า “กัป” ในที่นี้หมายเอาเพียง 10 หรือ 20 ปีเท่านั้น มิใช่เป็นกัปเป็นกัลป์อย่างที่เราเข้าใจ)
ก็เพราะเชื่อนั่นแหละ คนถึงได้ตื่นขึ้นมาหุงข้าวตั้งแต่ดึก เพื่อเตรียมใส่บาตรท่าน ขืนไม่หุงแต่ดึก ก็จะไม่ทัน ท่านมาแล้วจะไม่มีข้าวใส่บาตร เพราะเหตุนี้เหมือนกันคนจึงกล่าวว่า ท่านพระอุปคุตมาบิณฑบาตตอนดึก และก็คงฉันดึกๆ ด้วยว่าไปโน่น
ผมเองสมัยยังเด็ก เห็นพ่อผมตั้งซุ้มหน้าบ้าน เอาผ้าไตรไปวางใส่พานไว้ แล้วก็สั่งให้แม่นึ่งข้าว ตั้งแต่ประมาณเที่ยงคืนแล้วก็ร้องถามว่า ข้าวสุกหรือยัง ครั้นแม่ร้องบอกว่า จวนแล้ว รอเดี๋ยว เสียงพ่อก็บ่นตามมาว่า ชักช้า เดี๋ยวท่านมาจะไม่ทัน
ตอนนั้นยังเด็กมาก ไม่รู้เรื่อง และเมื่อโตมาก็ไม่เห็นพ่อทำอย่างนั้นอีก ประเพณีนี้ดูเหมือนจะจางหายไปแล้ว
ลืมถามพ่อว่า พ่อเคยได้ใส่บาตรพระอุปคุตจริงหรือเปล่า หรือ “จินตนาการ” เอา เรื่องของความเชื่อครับ เราไม่เชื่อก็อย่าดูหมิ่น
พระอุปคุตได้นามอีกอย่างหนึ่งว่า “พระบัวเข็ม” บัวและเข็ม มาเกี่ยวอะไรกับท่าน ผมก็เลือนๆ จำได้ว่ามีตำนานพม่าเล่าว่า พระเจ้ากรุงหงสาวดีพระองค์หนึ่ง มียานวิเศษพาเหาะไปไหนๆ ได้ (สมัยนี้เรื่องเล็ก เขามีเครื่องบินส่วนตัวแล้ว ไปไหนก็ได้ แต่เครื่องตกไปหลายคนเหมือนกัน)
วันหนึ่งเหาะผ่านชายป่าแห่งหนึ่ง เห็นพระรูปหนึ่งเดินลุยโคลน บนศีรษะมีใบบัวคลุมอยู่ อีกใบเอาเป็นภาชนะเก็บกุ้งหอยปูปลา เพื่อนำไปปล่อยลงแม่น้ำใหญ่ เพราะหนองน้ำนั้นกำลังจะแห้งขอด
พระเจ้ากรุงหงสาวดีนึกตำหนิในใจว่า พระอะไรมาลุยโคลนจับกุ้งหอยปูปลา ไม่น่าดูเลย เอาไปกินหรือเปล่าไม่รู้ ทันทีที่คิดจบยานวิเศษหยุดแล่นและตกลง (ดีที่ไม่คอหักตาย)
ทรงสำนึกผิด ว่าได้ล่วงเกินพระผู้ทรงคุณวิเศษเสียแล้ว จึงรีบไปจะกราบขอขมา ปรากฏว่าท่านหายวับไปแล้วไร้ร่องรอย
พระเจ้ากรุงหงสาวดีเมื่อกลับเมืองจึงสละยานนั้นแกะสลักเป็นรูปท่านถวายเป็นพุทธบูชา เนื่องจากไม่ทันสังเกตลักษณะหน้าตาของท่าน จึงทำให้มีเพียงใบหน้า ไม่มีนัยน์ตา จมูก และปาก รูปแกะสลักนี้ประดับแก้วศักดิ์สิทธิ์ 9 เม็ด
มีใบบัวปกเศียร และมีหมุดปักอยู่ตามหัวไหล่ ตามเข่า หลายแห่ง จึงเรียกว่า “พระบัวเข็ม” (คือพระที่มีบัวและเข็มตามองค์นั่นแล) และที่ขาดไม่ได้ จะต้องมีรูปบัวและกุ้งหอยปูปลาที่ฐานพระด้วยจึงจะครบเครื่อง
พระอุปคุตมีอยู่ 2 แบบใหญ่ๆ คือแบบพระมารวิชัย ก้มหน้า มีหมุด หรือเข็มปักตามส่วนต่างๆ กับแบบนั่งแหงนหน้า มือหนึ่งทำท่า “จกบาตร” (ล้วงบาตร) แบบนี้เรียกว่า “พระอุปคุตจกบาตรพิชิตมาร” องค์นี้แหละครับที่พระวัดสวนดอกเมตตาให้ผมมา
ทุกวันผมก็ได้แต่ภาวนาว่า เมื่อไรท่านจะ “จก” เอามารพระพุทธศาสนาในคราบผู้นุ่งเหลืองมา “จิก” หัวให้สมองฝ่อทั้งแก๊งหนอ อมิตาภพุทธ
มัวแต่ตื่นเต้นกับอิทธิปาฏิหาริย์ของท่านอุปคุต ลืมเล่าประวัติว่าท่านเป็นใครมาจากไหน ก็ขอเล่าย่อๆ พอได้ความก็แล้วกันนะครับ
พระอุปคุตเถระเป็นบุตรพ่อค้าผู้มั่งคั่งแห่งเมืองมถุรา มีพี่น้อง 3 คนเป็นชายล้วน ท่านเป็นบุตรคนสุดท้อง บิดาท่านให้สัญญากับพระเถระรูปหนึ่งนามสาณวาสี ว่าถ้าได้บุตรชายจะให้บวชเป็นศิษย์พระเถระ พอได้บุตรชายคนแรกมาก็ไม่ให้บวช ได้คนที่ 2 มาก็ไม่ให้บวช พอถึงคนที่ 3 บิดาท่านไม่รู้จะบ่ายเบี่ยงอย่างไรต่อไป จำต้องให้บุตรชายคนเล็กนามอุปคุตบวชตามสัญญา บวชแล้วไม่นานท่านก็ได้บรรลุพระอรหัตผล เป็นพระอรหันต์ขีณาสพ (ผู้สิ้นอาสวกิเลส) ด้วยประการฉะนี้แล
https://www.matichon.co.th/article/news_1061419
หน้าที่เข้าชม | 6,445,442 ครั้ง |
ผู้ชมทั้งหมด | 3,997,151 ครั้ง |
เปิดร้าน | 7 พ.ค. 2556 |
ร้านค้าอัพเดท | 17 ก.ย. 2568 |