คณะปาหี่ลองของ หลวงพ่อกลั่น วัดพระญาติการาม
หลวงพ่อกลั่นท่านเชี่ยวชาญวิชาหลายอย่างไม่ว่าจะเป็นวิชาฟันดาบหรือต่อสู้ด้วยเพลงอาวุธแบบโบราณ ชกมวย ท่านเรียน จากสำนักวัดประดู่ทรงธรรม (เปรียบได้กับ เขาอ้อ แห่งอยุธยา มีพระดังๆ มากมาย ที่เรียนวิชามาจากที่นี่)
ครั้งหนึ่งสมัยท่านมีชีวิตอยู่ มีคณะเร่ขายน้ำมันรักษาแผลน้ำร้อน น้ำมันลวก ที่เชิญชวนให้ผู้คนสนใจด้วยการแสดงการต่อสู้ด้วยดาบ พลอง และทดสอบความแข็งแกร่งของร่างกายด้วยการวางแผ่นศิลาบนร่างคน แล้วทุบด้วยค้อนปอนด์จนแผ่นศิลาแตก
โดยคนมิได้รับบาดเจ็บเลย แล้วจบด้วยการแสดงรูดโซ่ที่เผาไฟจนแดง
ได้ผ่านมายังบริเวณวัดพระญาติการาม ได้ยินกิตติศัพท์ของสำนักดาบวัดพระญาติการาม ที่หลวงพ่อกลั่นได้ฝึกสอนลูกหลานชาวบ้านบริเวณวัด จึงได้ท้าประลองฝีมือด้วย ทว่าหลวงพ่อกลั่นทราบเป็นอย่างดีว่าคณะปาหี่คณะนี้ยากต่อการต่อกรด้วย จึงได้รับคำท้าประลองด้วยตัวหลวงพ่อกลั่นเอง
ถึงวันประลอง ครูมวยคณะปาหี่ ไม่อาจทำอะไรต่อหลวงพ่อกลั่นได้เลย ทั้งที่ใช้ไม่พลองในการต่อสู้ และหลวงพ่อกลั่นยืนนิ่งเฉยมีเพียงหวายในมือ ครั้งหลวงพ่อโต้กลับตามร่างกายของครูมวยล้วนเต็มไปด้วยรอยหวาย จนต้องยอมแพ้กราบขอขมาหลวงพ่อกลั่นไปในที่สุด
ผู้ใหญ่ทองดี ผาสุขโอษฐ์ เล่าให้ฟังว่า
หลวงพ่อกลั่นท่านมีสมาธิแก่กล้ามาก เราคิดอะไรท่านจะรู้หมด พอเห็นหน้าเท่านั้น ท่านจะทักทันที ใครไม่ดีถ้าเตือนไม่เชื่อ จะตายโหงทุกราย
พระคาถาอิติปิโสบัวบาน
ตั้งนะโม ๓ จบ ระลึกถึงพระรัตนตรัย ๓ ครั้ง
อิติปิโส ภะคะวา มะอะอุ ทุกขัง กุสลาธัมมา อะกุสะลาธัมมา, อิติปิโส ภะคะวา อุอะมะอุ อะนัตตา ทุกขา อะทุกขา ธัมมา, สะวาสุนามะรูปัง ทุกขัง สะวาสุนามะรูปัง อะนิจจัง สะวาสุนามะรูปัง อะนัตตา อะระหังสัมมา ติวาคะภะโธฯ
คาถานี้หลวงพ่อกลั่น ท่านใช้ทำน้ำมนต์ ใช้ภาวนาในกัมมัฏฐาน หมั่นภาวนาทำจนเป็นกิจวัตร ชีวิตเจริญไม่ตกต่ำ สร้างแต่กรรมดีละเว้นความชั่ว แล้วนำดอกบัวที่ยังไม่บานปักใส่แจกันก็ดี นำมาลอยน้ำก็ดีและภาวนาไปเรื่อยๆ รับรองเลยว่าดอกบัวบาน