"การที่จะทำชาติภพของเราให้สั้น ก็คือ ให้ระลึกอยู่แต่ นาม กับ รูป ๒ สิ่งนี้ ให้เป็นปัจจุบันธรรมว่า รูปร่างกายนี้มีชีวิตอยู่ได้ด้วยอะไร มีได้ด้วยอาศัยลมหายใจ
ฉะนั้น ลมหายใจก็เป็นสิ่งที่สำคัญยิ่งของชีวิต ถ้าลมหายใจหยุดเมื่อใด เราก็ต้องตาย ลมเข้าไม่ออกก็ตาย ลมออกไม่เข้าก็ตาย นึกอยู่แต่ลมหายใจอย่างนี้ให้เสมอทุกขณะ ทุกเวลา ไม่ว่าจะนั่ง นอน ยืน เดิน ไม่ปล่อยให้หายใจทิ้งไปเปล่า
คนที่ไม่รู้ลมหายใจของตนเอง เรียกว่า คนตาย คือคนที่ขาดสติ มีความประมาท ก็ย่อมเป็นทางแห่งความชั่วร้าย และอันตรายเข้ามาถึงเราจะต้องไม่ปล่อยให้จิตของเราออกไปติดอยู่ในอารมณ์ภายนอก คือ สัญญา อดีต อนาคต ทั้งส่วนดีและส่วนไม่ดี ให้รู้เฉพาะอยู่แต่ปัจจุบัน คือ ลมหายใจเข้าออกอย่างเดียวที่เรียกว่า เอกัคคตารมณ์ ไม่ให้ใจวอกแวกไปในสัญญาอารมณ์อื่นใดเลย สติของเราก็จะตั้งมั่นอยู่ในความรู้ ดวงจิตก็จะเกิดกำลังกล้าแข็งที่จะต่อต้านกับอารมณ์ต่างๆ ที่เข้ามากระทบ ให้เกิดความรู้สึกดี ไม่ดี ชอบ ไม่ชอบ อันเป็นตัวนิวรณ์ที่จะมาทำให้ดวงจิตของเราเศร้าหมอง เราต้องทำความรู้อยู่เฉพาะปัจจุบันอย่างเดียว
ทำความรู้เท่าทันในอารมณ์ที่เกิดดับ ปล่อยวางทั้งดีและชั่ว ไม่ยึดถือ จิตที่เพ่งเฉพาะอยู่แต่ในอารมณ์อันเดียวนี้ ก็จะเกิดเป็นสมาธิจนเป็นญาณจักขุขึ้น มีหูทิพย์ ตาทิพย์ มองเห็นเหตุการณ์ อดีต อนาคตทั้งใกล้ว และไกล มีบุพพเพนิวาสญาณ รู้กรรมในอดีตชาติ รู้การเกิด การตาย การมาการไปของตัวเองและบุคคลอื่น สัตว์อื่นว่าเกิดมาแต่กรรมดีกรรมชั่วอย่างใด เป็นเหตุทำให้เราเกิดความสลดสังเวช เบื่อหน่ายในชาติภพและตัดกรรมที่จะไม่ให้เราคิดกระทำความชั่วอีกได้
ความเบื่อหน่าย อันนี้เป็นของมีคุณ ไม่ใช่เป็นของมีโทษเหมือนเบื่อเมา เบื่อเมานั้นมีลักษณะเหมือนกับคนที่กินข้าวอิ่มแล้ววันนี้ ก็รู้สึกเบื่อแล้วไม่อยากกินอีก แต่พอวันรุ่งขึ้นก็หายเบื่อและกลับกินอีกได้ ส่วนการเบื่อหน่ายนั้น เป็นการที่เราจะไม่กลับยินดีทำในสิ่งนั้นอีก เช่นเราเห็นการ เกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นทุกข์ เราก็ไม่อยากทำปัจจัยที่จะทำให้เราต้องกลับมาเกิด แก่ เจ็บ ตาย อีก ดังนี้เป็นต้น
*ข้อสำคัญของผู้ปฏิบัติที่ต้องการจะพ้นทุกข์นั้น ก็คือ ความเพียรและความอดทน"