เพราะรักจึงต้องฆ่า (?) - โศกนาฎกรรมของเจ้าหญิงโรซามุนด์
แม้ในวันนี้จะเป็นวันแห่งความรักหรือวันวาเลนไทน์
แต่ในวันนี้ผมจะมาขอเล่าเรื่องราวของความรักและความแค้นอันดุเดือดเลือดสาดของ
"โรซามุนด์" (Rosamund) เจ้าหญิงแห่งชนเผ่าเกปิดส์ (Gepids)
ที่ได้วางแผนลอบฆ่าพระสวามีของตนคือ "อัลโบอิน" (Alboin)
กษัตริย์ของพวกลอมบาร์ด (Lombards) ในปี ค.ศ. 572 ครับ
ไอ้จุดเริ่มต้นของความแค้นเกิดขึ้นในดินแดนแถบยุโรปกลางช่วงปลายศตวรรษที่ 6
อันเป็นช่วงเวลาที่เหล่าอนารยชนเยอร์มานิค (Germanic Tribes)
กลุ่มต่างๆกระจายตัวกันปกครองดินแดนส่วนใหญ่ของทวีปยุโรป
ซึ่งพวกเกปิดส์และลอมบาร์ดนี้ต่างก็เป็นชนเผ่าเยอร์มานิคตะวันออกเหมือนๆกันนั่นล่ะครับ
แต่ว่าทั้งสองเผ่านี้กลับไม่ถูกกันและทำศึกห้ำหั่นกันเองมาอย่างยาวนานแล้ว
เพราะความที่พวกเกปิดส์ได้ครอบครองดินแดนทุ่งหญ้าอันกว้างใหญ่ของพานโนเนีย (Pannonia) ที่อยู่ยังใจกลางของประเทศฮังการีในทุกวันนี้
และยังเคยเป็นศูนย์กลางแห่งอำนาจของพวกฮัน (Huns) ในอดีตมาก่อนอีกด้วย
จึงทำให้พวกลอมบาร์ดที่อยู่ทางตอนใต้หมายจะเข้ามายึดครองดินแดนแถบนี้บ้าง
แต่ด้วยกำลังของตนเองก็ดันรบเอาพวกเกปิดส์ไม่ลงซะอย่างนั้น
แต่แล้วโอกาสของพวกลอมบาร์ดก็มาถึงเมื่อมีกองกำลังอนารยชนจากเอเชียกลุ่มใหม่ได้เดินทางมาถึงคือชาวอะวาร์ (Avar) ชนเผ่าเร่ร่อนเชื้อสายโปรโต - มองโกล (Proto - Mongols)
ที่กำลังหาที่อยู่ใหม่ในแดนตะวันตกแห่งนี้นี่ล่ะครับ
โดยผู้นำของพวกอะวาร์คือ "บายันข่าน" (Bayan)
ได้ส่งทูตมาเจรจากับเป็นพันธมิตรกับพวกลอมบาร์ดว่าจะขอร่วมทำศึกกับพวกเกปิดส์ด้วย
โดยมีข้อตกลงว่าพวกอะวาร์จะได้สิทธิ์ในการปกครองดินแดนและคร่ากุมบรรดาเชลยศึกชาวเกปิดส์เกือบทั้งหมด ซึ่งอัลโบอินก็ดันยินยอมให้ตามนั้น
เพราะด้วยความที่แกน่าจะหมันหน้าพวกเกปิดส์มานานก็เลยยอมพวกอะวาร์ง่ายๆซะงั้นล่ะครับ
งานนี้ก็แน่นอนว่ากองกำลังพันธมิตรอะวาร์ - ลอมบาร์ดสามารถเอาชนะกองทัพเกปิดส์
ได้อย่างง่ายดายในปี ค.ศ. 567 และกษัตริย์ของพวกเกปิดส์คือ "คูนิมุนด์" (Cunimund)
ยังทรงถูกประหารในที่สุดด้วย ซึ่งเรื่องราวหลังจากนี้ต่างก็เล่ากันไปคนละทิศคนละทางว่า
บายันข่านได้เอากะโหลกของคูนิมุนด์มาทำถ้วยเหล้าเพื่อดื่มเหล้าฉลองชัย
ในขณะที่ตำนานอีกเรื่องหนึ่งเล่าว่าอัลโบอินต่างหากที่เด็ดเศียรของคูนิมุนด์ได้และเอามา
ทำถ้วยเหล้าฉลองชัยของตนเอง และในระหว่างงานเลี้ยงฉลองนั้น
อัลโบอินยังเย้ยหยันเจ้าหญิงโรซามุนด์ด้วยการให้เธอดื่มเหล้าจากถ้วยหัวกะโหลกบิดาตนเองอีกต่างหาก แต่ไม่ว่าเรื่องราวจะเป็นอย่างไรก็ตาม คูนิมุนด์นั้นหัวขาดแน่นอนครับ และบรรดาชนเผ่าเกปิดส์ส่วนใหญ่ก็กลายมาเป็นเชลยศึกและทาสของพวกอะวาร์และลอมบาร์ด แต่กระนั้นก็ยังมีชาวเกปิดส์บางส่วนหลบหนีไปยังแคว้นดัลมาเทีย (Dalmatia) ที่อยู่ภายใต้การปกครองของจักรวรรดิโรมันตะวันออกหรือไบแซนไทน์ (Eastern Roman/Byzantine Empire) และหนึ่งในบรรดาผู้ลี้ภัยเหล่านั้นก็คือเจ้าหญิงโรซามุนด์ พระธิดาของคูนิมุนด์ผู้ที่ทั้งดวงขาดและหัวขาดนั่นล่ะครับ
หลังจากที่ยึดครองดินแดนของพวกเกปิดส์ได้แล้ว พวกอะวาร์และลอมบาร์ดยังคงรวมมือกันเข้าโจมตีแคว้นดัลมาเทียเพื่อตามล่าเหล่าเชลยศึกชาวเกปิดส์ในปีถัดมาหรือในปี ค.ศ. 568 แต่ก็ถูกกองทัพไบแซนไทน์ต้านทานเอาไว้ได้จนต้องยอมถอยทัพกลับไป บายันข่านจึงได้หันไปโจมตีอาณาจักรของชาวแฟรงก์ (Frankish) ที่ครอบครองแผ่นดินออสเตรีย (Austria) ในเวลานั้นและได้รับชัยชนะครั้งใหญ่ในปี ค.ศ. 570 จนทำให้อาณาจักรของชนเผ่าอะวาร์กลายมาเป็นผู้ทรงอำนาจที่สุดในดินแดนยุโรปกลางแล้วล่ะครับ และด้วยความสำเร็จในการผนวกดินแดนเหล่านี้ได้ทำให้บายันคิดจะช่วงชิงดินแดนของชาวลอมบาร์ดมาเป็นของตนเอง และได้เปิดฉากเข้าโจมตีอาณาจักรลอมบาร์ดอย่างสายฟ้าแลบ จนทำให้อัลโบอินต้องรีบไปขอความช่วยเหลือจากชาวเกปิดส์ อดีตศัตรูเก่าของตนเพื่อทำศึกขับไล่พวกอะวาร์ และแน่นอนว่าในการเชื่อมสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองเผ่าในคราวนั้น อัลโบอินก็ได้แต่งงานกับเจ้าหญิงโรซามุนด์ ผู้เป็นธิดาของศัตรูที่ตนเคยสังหารเพื่ออ้างสิทธิ์ความชอบธรรมในฐานะผู้นำสูงสุดของชนเผ่าลอมบาร์ดและเกปิดส์นั่นเอง แต่กลับกลายเป็นว่ากองกำลังพันธมิตรลอมบาร์ดและเกปิดส์นั้นไม่อาจจะต้านทานการโจมตีอันดุดันของกองทหารม้าอะวาร์ได้และกลายเป็นฝ่ายปราชัยอย่างยับเยิน และอัลโบอินก็จำต้องยอมสละดินแดนของตนเองแล้วอพยพเทครัวหนีเข้าไปในคาบสมุทรอิตาลีในที่สุดเมื่อปี ค.ศ. 572 ครับ
หากแต่ในระหว่างในอัลโบอินกำลังหลบหนีนี่ล่ะครับ เจ้าหญิงโรซามุนด์ที่เก็บงำความแค้นมานานก็ได้วางแผนล้างแค้นพระสวามีด้วยการยอมพลีกายให้กับ "เฮลมิคิส" (Helmichis) องครักษ์ผู้ภักดีของอัลโบอินให้ร่วมกันวางแผนลอบสังหารองค์กษัตริย์ที่ (อาจจะ) เป็นฆาตกรผู้สังหารบิดาของตน และเมื่อเฮลมิคิสเสียท่าให้กับนายหญิงของตนแล้ว เขาก็จำยอมต้องร่วมแผนการนี้อย่างไม่อาจเลี่ยง โดยได้เรียกใช้ "เปเรโด" (Peredo) ยอดนักรบผู้ทรงพลังเป็นมือสังหาร ส่วนเจ้าหญิงโรซามุนด์จะแอบเก็บพระแสงดาบให้อยู่พ้นแท่นบรรทมของอัลโบอิน และเมื่อถึงเวลาแล้ว โรซามุนด์ก็ส่งสัญญาณให้เฮลคิมิสและเปเรโดลงมือ ซึ่งอัลโบอินที่สะดุ้งตื่นมาโดยไม่พบกับพระแสงดาบคู่ใจก็ถูกเปเรโดใช้หอกกระซวกไส้จนถึงสิ้นพระชนม์ในที่สุดครับ
หากแต่ชะตากรรมของเจ้าหญิงโรซามุนด์นั้นก็มิได้จบลงอย่างสวยงามหรอกครับ เพราะหลังจากที่สังหารอัลโบอินได้แล้ว เฮลคิมิสได้พาเจ้าหญิงโรซามุนด์หลบหนีการตามล่าของเหล่านักรบลอมบาร์ดที่โกรธแค้นเข้าไปในนครราเวนน่า (Ravenna) ที่อยู่ภายใต้การปกครองของจักรวรรดิไบแซนไทน์ในเวลานั้น แต่มันดันมีเรื่องพลิกล็อกกันอีกรอบ เมื่อเจ้าหญิงโรซามุนด์ดันไปตกหลุมรัก "ลองจินุส" (Longinus) ข้าหลวงแห่งราเวนน่าซะอย่างนั้น เพราะด้วยเธอหลงใหลในวาทะคารมของข้าหลวงผู้นี้เป็นอย่างมาก เจ้าหญิงโรซามุนด์จึงลอบวางแผนกับชู้รักคนใหม่ว่าจะวางผาลอบสังหารผัวชู้นัมเบอร์ทูอย่างเฮลคิมิสด้วยการวางยาพิษในเครื่องดื่ม แต่กลายเป็นว่าเฮลคิมิสดันรู้ตัวก่อนและจับกรอกเหล้าผสมยาพิษใส่ปากขององค์หญิงซะเอง ก่อนที่จะฆ่าตัวตายไปตามกันด้วยการดื่มเหล้าผสมยาพิษที่เหลืออยู่จนตายตกไปตามกันนั่นล่ะครับ
เรื่องนี้จึงจบเห่เอวังด้วยประการ ณ ฉะนี้แล...
ข้อมูลประกอบ - ภาพจิตรกรรมสีน้ำมัน "การลอบสังหารอัลโบอิน" (The Assassination of Alboin) ผลงานของ "ชาร์ลส แลนเซียร์" (Charles Landseer) ในปี ค.ศ. 1865